3 ก.ค. 2023 เวลา 09:00

สังขาร กับ วิญญาณ ไม่ใช่ นาม ดังนี้

ลำดับต่อไปนี้จะแสดงธรรมในข้อธรรมที่ว่า สังขารกับวิญญาณ ไม่ใช่นาม เหตุที่ต้องแสดงธรรมในข้อธรรมที่ว่าสังขารกับวิญญาณไม่ใช่นามดังนี้นั้น สืบเนื่องจากมีผู้ได้เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า ถ้าสังขารกับวิญญาณไม่ใช่นาม แล้วสังขารกับวิญญาณคืออะไร
แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ จะแสดงธรรมเพื่อตอบคำถามอื่นๆของผู้นั้นโดยลำดับไปด้วย เผื่ออย่างน้อยหมู่ชาวพุทธอื่นๆที่เข้ามารับทราบนี้ จะได้รับรู้ว่าเรื่องคำว่าสังขารกับวิญญาณไม่ใช่นามนั้น มีต้นเหตุมาอย่างไร เรามาดูกันอา
โดยลำดับที่ผ่านมานั้นได้ว่าธรรมในพระพุทธเจ้า ให้รับทราบมาโดยลำดับธรรมอันเป็นเหตุให้องค์พระพุทธเจ้าด้วยตรัสรู้ เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น คือธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท มีทั้งโดยย่อ โดยเต็ม หรือโดยสรุปบางส่วน
อย่างเช่นในสัมมาทิฏฐิสูตร ท่านพระสารีบุตรแสดงธรรมของพระศาสดาว่า ความเกิด ความแก่ ความตาย ความแห้งใจ ความพิไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความเสียใจความ คับแค้นใจ ความประจวบเข้ากับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สมหวังแต่ละอย่างแต่ละอย่าง ล้วนเป็นทุกข์ ตรงนี้จบปฏิจจสมุปบาทแล้ว และท่านก็จะตรัสต่อท้ายว่าสังเกตุเตนะปัจจุปาทานทุกขาว่าโดยย่ออุปาทานและขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ ต่อท้าย อุปทานและขันธ์ทั้ง 5 นี่เป็นบททำย่อของปฏิจจสมุปบาท
ได้แสดงโดยรวมให้ฟังทราบนี้ว่า ธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้นั้น ประกอบไปด้วยปัจจยาการต่อกันคือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง ความเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ทั้งสิ้นนั้นมีได้ด้วยประการฉะนี้
เมื่อจบปฏิจจสมุปบาทแล้วท่านจะตรัสต่อท้ายว่า สังขิตเตน ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ ขันธ์ 5 นี่เป็นบทคำย่อของปฏิจจสมุปบาทนี้ มีปัจจยาการต่อกันหรือมีองค์ธรรมที่เป็นปัจจยาการต่อกันอยู่ 5 องค์ธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มี 5 คำนี้ เป็นธรรมย่อของปฏิจจสมุปบาทนี้
แต่หมู่ชางพุทธหลังพุทธกาลมานี้ ไม่สามารถรู้จริง ไม่สามารถแทงตลอดในธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ได้ เป็นเหตุให้หมู่ชาวพุทธ ในหลังพุทธกาลมานี้ได้สําคัญเอาว่าขันธ์ 5 นี่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสต่อท้ายว่าสังขิตเตน ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์นี้ เป็นร่างกายมนุษย์ หรือเป็นร่างกายของคน คือขันธ์ 5 เป็นตัวคนไปเซียะ
เพราะตีความเอาว่าขันธ์ 5 นี่ มีอยู่ 5 ประการคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปก็คือร่างกายเนื้อ เจ้าร่างกายเนื้อไปดูอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ไปฟังอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งไป ไปดมอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ไปกินอะไรอย่างไรอย่างหนึ่ง ไปสัมผัสอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ไปรับรู้ธรรมารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะเกิดเวทนา เกิดสัญญา เกิดสังขาร เกิดวิญญาณ
เป็นเหตุให้หมู่ชาวพุทธหลังพุทธกาลมานี้ เห็นว่าขันธ์ 5 เป็นร่างกายคน เป็นร่างกายมนุษย์ นี่คือความเห็นผิดเป็นเบื้องต้นก่อน เพราะเห็นไม่ได้ในปฏิจจสมุปบาท ทั้งครูอาจารย์ทั่วๆไปในหลังพุทธกาลมานี้ และรวมถึงผู้รับต่อๆกันมาด้วย
เมื่อเห็นขันธ์ 5 ว่าเป็นร่างกายคน แล้วก็แยกขันธ์ 5 ของพระองค์ท่าน เป็นรูปกับนาม เดี๋ยวต่อไปจะเห็นว่าเป็นรูปกับนามยังไง แยกผิดยังไงจะอยู่ตรงนี้ จะเป็นคำตอบให้กับผู้สงสัยว่า สังขารกับวิญญาณ ไม่ใช่นามอยู่อย่างไร ดังต่อไปนี้ แต่ให้ดูรายละเอียดตรงนี้ไปตามลำดับก่อน
และเมื่อเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นร่างกายคน แยกขันธ์ 5 เป็นรูปกับนามแล้ว หลังจากนั้นก็มากล่าวเสมอๆว่า คนเราประกอบไปด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5 ย้ำชัดว่าขันธ์ 5 คือร่างกายคน แต่พอให้แสดงขันธ์ 5 พูดอยู่ว่าขันธ์ 5 ขันธ์ 5 แต่พอแสดงขันธ์ 5 กลายเป็นขันธ์ 6 ไป เกิดขันธ์ 6 ไป
เรื่องนี้ผู้ถามก็เกิดความสงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จะชี้ให้ดูอีกครั้งหนึ่ง หมู่ชาวพุทธหลังพุทธกาลมานี้ เมื่อเห็นว่าขันธ์ 5 คือร่างกายของคนเราจริงๆแล้ว สิ่งที่ท่านจะนำมาเป็นอุปกรณ์การแสดงขันธ์ 5 ได้ง่ายที่สุด ท่านก็จะยกฝ่ามือขึ้น
นี่คงจะดูออกนะว่าเป็นรูปฝ่ามือ วาดไม่ตรงเท่าไหร่ก็ให้เห็นว่าเป็นรูปฝ่ามือก็แล้วกัน ในฝ่ามือจะมีนิ้วอยู่ 5 นิ้ว ก็จะมีคำว่ารูปคือนิ้วโป้ง เวทนาคือนิ้วชี้ สัญญาคือนิ้วกลาง สังขารคือนิ้วนาง และวิญญาณคือนิ้วก้อย อันที่จริงถ้าดูจริงๆตอนนี้จะมี 5 ขันธ์ จะมีอยู่ 5 คันคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ แต่พอหมู่ชาวพุทธเราสำคัญว่าเจ้ารูปคือร่างกายเนื้อ อันประกอบไปด้วยมหาภูตรูป 4 นี้ เจ้ามหาภูตรูปสี่นี้จะมีสฬายตนะภายในของตน มีอยู่ 6 ประการ คือ มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มี 6 สฬายตนะ
ดูสฬายตนะแรก ตามองไปเห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ไปกระทบรูปอย่างใดอย่างหนึ่งท่านว่าอย่างนี้ จากขันธ์ที่ 1 ปุ๊บรูปเป็นคำที่ 1 นับ 1 ตรงนิ้วโป้งนะ จากตามากระทบรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้หญิงเห็นผู้ชายคนหนึ่ง หรือผู้ชายเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง กระทบปั๊บเข้าไป การกระทบการผัสสะ เป็นขันธ์ที่ 2 แล้ว เป็นขันธ์ที่ 2 ดูดีๆ
ตอบคำถามผู้สงสัยด้วยว่า ผัสสะไม่ปรากฏ ผู้สงสัยบอกว่าผัสสะเป็นเจตสิกธรรม เกิดในใจเขาว่าอย่างนี้ ดูดีๆมันเกิดในใจไหมดูดีๆนะ ตา เป็นตาของเราอยู่ภายนอก เป็นสฬายตนะอยู่ในตัวของคุณเห็นได้ไม่ได้อยู่ในใจสักหน่อย เห็นไหม ตามากระทบผู้ชายคนหนึ่ง ตรงผู้ชายนี่เป็นภายนอก ไม่ได้อยู่ในใจของเราเลย แม้แต่ใจของเรา วิญญาณของเราที่มารับรู้นี้ ก็เป็นวิญญาณทางตา ไม่ได้อยู่ภายในเลย ไม่ได้อยู่ภายในและ ถ้าไม่อาศัยตามาเกิดวิญญาณตรงตาจักษุวิญญาณเกิดไม่ได้เลย
ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประชุมแห่งผัสสะแล้วนะเป็นขันธ์ที่ 2 เห็นไหม จากตาเป็นขันธ์ที่ 1 เจ้ารูปนี้เป็นขันธ์ที่ 1 ต้องไม่ลืมว่าตัวรูปนี้เป็นขันธ์ที่ 1 นะ แล้วผัสสะนี่เป็นขันธ์ที่ 2 ไม่ใช่เจตสิกธรรมอย่างที่ว่าแล้วนี่ ผัสสะมันใช่ แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดตรงๆ ตรงเฉพาะคำว่าผัสสะ เห็นไหม เกิดผัสสะปั๊บเป็นขันธ์ที่ 2
ผัสสะแล้วเห็นผู้ชายหรือผู้หญิงแล้ว จึงเกิดเวทนาเป็นขันธ์ที่ 3 จึงสัญญาเป็นขันธ์ที่ 4 จึงสังขารเป็นขันธ์ที่ 5 จึงวิญญาณเป็นขันธ์ที่ 6
จากขันธ์ 5 จาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เดียวๆมา พอเอาตามากระทบรูปมันเป็นขันธ์ที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว พอเอาหูมาฟังเสียงเป็นขันธ์ที่ 2 แล้ว พอเอาจมูกมาดมกลิ่นผัสสะนี้เป็นขันธ์ที่ 2 แล้ว ลิ้นมารับรสผัสสะนี้เป็นขันธ์ที่ 2 แล้ว กายมาสัมผัสโพฏฐัพพะใดๆเป็นขันธ์ที่ 2 แล้ว ใจไปรับรู้ธรรมารมณ์ใดๆเป็นขันธ์ที่ 2 แล้ว
จากรูปเป็น 1 จากผัสสะเป็น 2 เวทนาเป็น 3 สัญญาเป็น 4 สังขารเป็น 5 วิญญาณเป็น 6
จากขันธ์ 5 ดีๆกลายเป็นขันธ์ 6 โดยคนที่ไม่รู้ว่าปฏิจจสมุปบาท ย่อมาเป็นขันธ์ 5 คืออะไรนี่แหละ ทำให้ขันธ์ 5 เป็นขันธ์ 6 อยู่ ที่แสดง
และทีนี้มาตรงตามที่คำถาม ที่ว่า สังขารกับวิญญาณไม่ใช่นาม ไม่ได้พูดเอง เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาแสดง ดูดังนี้ คำว่าสังขารกับวิญญาณไม่ใช่นาม คือ สังขาร พระพุทธเจ้าให้นิยาม หรือแจกวิภังค์เอาไว้ว่า สังขารนี่มีอยู่สังขาร 3 นะ 1 กายสังขาร 2 วจีสังขาร 3 มโนสังขาร ดูดีๆ
กายสังขารคือร่างกาย คือกายเนื้อ คือกายที่ประกอบไปด้วยมหาภูตรูป 4 ที่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ องค์ประชุมทั้งหมดนี้แหละนี่คือกาย เป็นนามยังไงทีนี้ เห็นตัวทนโท่ เห็นรูปอยู่ทนโท่ ไม่ใช่นามแล้ว คำตอบที่ 1
คำตอบที่ 2 วจีสังขาร คำพูดอาศัยปากพูด อาศัยองค์ประกอบแห่งปากพูดออกมา ได้ยินเสียงรู้ว่านี่พูดถูก รู้ว่านี่พูดผิด รู้ว่านี่พูดดี รู้ว่านี่พูดไม่ดี รู้ว่าพูดถูกกาลเทศะ ไม่ถูกกาลเทศะ พูดด้วยความโกรธ พูดด้วยความเมตตา พูดเป็นประโยชน์ พูดด้วยความไม่เป็นประโยชน์ พูดด้วยโทสัน พูดด้วยความเมตตาอย่างนี้ รู้เลย ไม่ใช่นามแล้วนี่ เห็นเป็นๆเลย
แม้ มโนสังขาร ดูดีๆ จิต ใจ มโน นี่ตัววิญญาณ จะเกิดเองไม่ได้ถ้าไม่อาศัยนามรูปเกิดขึ้น เราจะเห็นสภาวะแห่งความคิดความอ่านต่างๆของคนนี้ อ๋อเขาคิดผิด อ๋อเขาคิดถูก อ๋อเขาคิดได้แล้ว มันเห็นได้ มโนนี่ไม่ใช่นามเลย มโนสังขารทั้ง 3 นี่ไม่ใช่นาม เป็นสิ่งที่ปรากฏได้ เป็นรูป อ้าวคำตอบที่ 1 ส่วนจะรู้ตามหรือไม่รู้ตามนั้นขึ้นอยู่กับอินทรีย์ล่ะทีนี้
ดูมาดูที่ 2 ที่นี้ วิญญาณ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า
ยัญญเทว ภิกขเว ปัจจยัง ปฏิจจ อุปปัชชติ
วิญญาณัง เตน เตเนว สังขยัง คัจฉติ
วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ ประชุมกันเกิดขึ้น
ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณเกิดเองไม่ได้จะต้องอาศัยนามรูปเกิดขึ้น
ดูดีๆ วิญญาณน่ะ ถ้าอยู่เดี่ยวๆมันอยู่ที่ไหนเราจะไม่เห็นเลย แต่ถ้าอาศัยนามรูปเกิดขึ้นน่ะเห็นได้ เพราะฉะนั้นวิญญาณจึงไม่ใช่นาม จะเห็นวิญญาณได้ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยให้เขาเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราก็เห็นวิญญาณได้สิ วิญญาณทางตา ตาเรายังลืมอยู่ยังมองเห็นอะไรอยู่นี่เห็นไหม หูเรายังดีอยู่ยังได้ยินเสียงอยู่วิญญาณอยู่ตรงนี้ จมูกได้กลิ่นวิญญาณอยู่ตรงนี้ ลิ้นรู้รสวิญญาณอยู่ตรงนี้ กายรู้เรื่อง รู้ร้อน รู้หนาว สัมผัสใดๆนี่วิญญาณอยู่ตรงนี้ ใจของเรา ดี ไม่ดี สุข ไม่สุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ อะไรอยู่ตรงนี้ รู้ได้
วิญญาณไม่ใช่นาม รู้ได้ รู้ไม่ได้ เป็นเรื่องของกำลังความสามารถของใครของใคร วิญญาณที่ไปในวัฏสงสารนี่ วิญญาณอาศัยเหตุปัจจัยใดๆประชุมกันเกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ ทำกรรมชั่วเอาไว้อย่างนี้ไปนรก วิญญาณนี้อาศัยเหตุปัจจัยที่ทำชั่วแล้วทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เห็นได้
วิญญาณทำชั่วแล้วอาศัยเหตุปัจจัยแห่งความทำชั่วไปสู่เดรัจฉาน ช้าง ม้า ลา โค หมู แพะ แกะไก่ เห็นได้
วิญญาณอาศัยเหตุแห่งความชั่วที่ตัวเองทำบอกว่าอย่างนี้ ไปเป็นเปรต เป็นความชั่วความหยาบอยู่เป็นเปรตเห็นได้
วิญญาณอาศัยเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นมนุษย์ เห็นมนุษย์ได้ไหม
วิญญาณอาศัยอยู่ปัจจัยให้ไปเกิดเป็นเทวดาเห็นเทวดาได้
วิญญาณไม่ใช่นาม สรุปทั้งสังขารและวิญญาณไม่ใช่นาม
ผู้สงสัยบอกว่าไม่มีกาย ไม่มีกาย ไม่มีตัวตนทุกอย่างเป็นสภาพธรรม อยู่ใกล้ๆน่ะ อยู่กับตัวเองน่ะลองหยิกตัวเองสิ หยิกที่ใดที่หนึ่ง ทุบตัวเองสิ มันไม่มีตัวจริงๆหรือ มันเป็นสภาพธรรมจริงๆเหรอ วันนี้ไม่ต้องรับประทานอาหารสักอย่างดูสิ หรืออดไปสักวันสองวันดูซิ จะไม่มีกายจริงๆหรือ
ที่ตอบไปนี้เข้าใจไม่เข้าใจไม่อาจรู้ได้ แต่ตอบชัดๆแล้วว่า สังขารกับวิญญาณ ไม่ใช่นาม ดังนี้
* รายละเอียดเพิ่มเติมในธรรมส่วนอื่นๆ สามารถรับฟังได้ที่นี้ *
PODCAST แนะนำ 👇
แนวทางสู่โสดาบัน✔

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา