13 มิ.ย. 2020 เวลา 10:17 • สุขภาพ
@~@ Espresso , Americano , Macchiato, Cappucinno , Mocha , Latte ????!!
1
ฟังแล้ว งง……
เคยสงสัยไหมครับ ว่า……ต่างกันอย่างไร ?
2
• กาแฟที่จำหน่ายในท้องตลาดแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ
1. กาแฟสำเร็จรูป พร้อมดื่ม เช่นกาแฟกดในร้านสะดวกซื้อ กาแฟกระป๋อง ผงกาแฟพร้อมชง เทน้ำร้อน ดื่มได้เลยเป็นต้น
2. กาแฟสด เป็นกาแฟที่ชงตามที่เราสั่งหน้าร้าน ทำเดี๋ยวนั้น ด้วยวิธีการชงแบบต่างๆ จะมีความหอมและให้รสชาติของกาแฟที่ดีกว่า มีทั้งแบบร้อน แบบเย็น และแบบปั่น
6
• เมล็ดกาแฟมี สอง สายพันธุ์หลักคือ
1. อาราบิก้า กับ 2. โรบัสต้า
อาราบิก้า ปลูกยากกว่า มีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่า ราคาแพงกว่า แต่ในอาราบิก้าเองก็มีแบ่งเกรดหรือสายพันธุ์ย่อยลงไปอีก เช่น Bourbon, Mocha, Typica หรือ Catimor เป็นต้น
5
• เมล็ดกาแฟที่นำมาขายในร้าน จะผ่านการคั่วมาแล้วจากโรงงาน คั่วไม่เหมือนบด คนละอย่างกัน ถ้าใช้เวลาคั่วนานปริมาณคาเฟอีนจะน้อยลง การบดกาแฟเป็นขั้นตอนหน้างาน มีทั้งบดหยาบและบทละเอียด ขึ้นกับว่าจะบาริสต้าจะเลือกวิธีชงแบบไหน
4
• สำหรับปริมาณคาเฟอีนในกาแฟ
ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ
1. ชนิดเมล็ดกาแฟ 2. วิธีการคั่ว และ 3. วิธีการชง
ซึ่งแต่ละแบรนด์ มีวิธีในการชงที่แตกต่างกัน และขนาดของแก้วก็ไม่เท่ากัน
1
• เริ่มสนใจกันแล้วใช่มั๊ยครับ ยกตัวอย่างคุณหลายคนเวลาไปร้านกาแฟสดอย่าง starbucks, seattle's best, uptown roaster, parlor coffee, four barrel หรือ G&B อาจจะมีปัญหาในการสั่ง ดูยุ่งยาก ไม่รู้จะสั่งยังไง
2
วิธีชงกาแฟสดมีอยู่ 4 วิธี ครับ
1
1. ใช้แรงดันอัดน้ำร้อนผ่านเข้าไปในเมล็ดกาแฟบด เรียกว่า "Espresso" รากศัพท์มาจากคำว่าแรงดันนั่นเอง เป็นวิธียอดฮิต ร้านกาแฟสดต่างๆที่เราไปซื้อกินจะใช้วิธีนี้เกือบทั้งหมด แม้แต่ starbucks ที่เห็นเครื่องใหญ่ๆวางหน้าร้าน อันนั้นก็คือเครื่องอัดแรงดัน
4
•คำว่า Espresso ไม่ได้หมายถึงชนิดของกาแฟ หลายคนยังเข้าใจผิดอยู่ เป็นชื่อหนึ่งในวิธีชงกาแฟใช้เวลาราวๆ ครึ่งนาทีก็จะได้น้ำกาแฟออกมาจากเครื่อง ตวงหน่วยเป็น ช๊อต หนึ่งช๊อตมี 30 มล.
ดังนั้นปริมาณคาเฟอีนถ้าจะวัดเปรียบเทียบกันในแต่ละร้านก็ควรต้องวัดต่อ 1 ช๊อตของ Espresso ก่อนที่จะนำไปผสมเป็นเมนูต่างๆ
4
• เมนูต่างๆที่ว่าคืออะไรเรามาดูกันครับ
ปกติถ้าเราสั่ง espresso แท้ๆเลย จะมาเป็นช๊อตร้อนๆใส่แก้วเล็กๆนะครับ
ถ้าสั่งสองช๊อตจะเรียกว่า doppio ในบ้านเราถ้าสั่ง espresso มันคือ iced espresso ครับ เค้าจะเอา espresso 2 ช๊อต มาผสมนม กับ ไซรัป เขย่าให้เข้ากันและใส่น้ำแข็ง ตบหน้าด้วยวิปครีม เป็นต้น
ถ้าไปต่างประเทศสั่ง espresso จะได้เป็นช๊อตนะครับ ไม่เหมือนกัน
4
• เติมน้ำร้อนใส่ espresso 1 ช๊อต = Americano
• เติมนมใส่ espresso = Flat White หรือ au lait
• เติมฟองนมใส่ espresso = Macchiato
• เติมนมร้อน และ ฟองนม ใส่ espresso = Latte หรือ Cappucinno
• เติม hot chocolate ใส่ espresso = Moccha
• เติม hot chocolate และ ฟองนม ใส่ espresso = Mochaccino
• ใช้เหล้าเบอร์เบิ้นเทราดลงน้ำตาลก้อนแล้วจุดไฟเผา ผสมลงใน Americano = Caffe Royale
13
• ขนาดแก้ว ยกตัวอย่าง starbucks แก้วเล็ก (tall) ใช้ espresso 1 ช๊อต แก้วใหญ่ (grande) ใช้ 2 ช๊อต แก้วใหญ่ (venti) ใช้ 3 ช๊อต ถ้าเราอยากลดปริมาณคาเฟอีนลง แต่อยากกินเยอะ ก็อาจจะสั่งให้บาริสต้า ผสม 1 ช๊อทในแก้วใหญ่ก็ได้ หรือ อาจจะเลือกเป็น decaf หรือ half-decaf ก็ได้ครับ
4
2. วิธีเทน้ำร้อนผ่านผงกาแฟในกระดาษกรอง เรียกว่า Pour-Over หรือ Drip นั่นเอง แต่อาจจะไม่ได้รสชาติกาแฟเต็มที่เหมือนวิธีอื่น
3
3. วิธีที่เรียกว่า French Press หรือ Bodum ว่ากันว่าเป็นวิธีชงที่ได้รสชาติกาแฟเต็มบอดี้ที่สุด แต่ชงเสร็จต้องดื่มเลย ตามร้านทั่วไปไม่ค่อยมีชงแบบนีกัน ยกเว้นในโรงแรม ส่วนใหญ่จะทำกันตามบ้านมากกว่า โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า plunger plot มีขายตามร้านกาแฟใหญ่ๆ ราคามักไม่เกิน 1000 บาท หลักการคือเทน้ำร้อนให้ท่วมเมล็ดกาแฟบด ต้องบดแบบหยาบ ถึงจะอร่อย ทิ้งเอาไว้ซักพัก ก่อนจะรีดน้ำกาแฟออกมา
9
4. การชงกาแฟแบบผ่านกาแฟบดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายๆรอบ หรือ ที่เรียกว่า Percolator ไม่ค่อยนิยมมากนัก แทบไม่มีร้านไหนทำ หายากมาก ว่ากันว่ารสชาติกาแฟที่ออกมาจะขมมาก อันนี้ผมก็ไม่เคยเหมือนกัน
10
• นอกจากรสชาติแล้ว เหตุผลที่เราดื่มกาแฟ คือต้องการสารที่มีชื่อว่า ‘คาเฟอีน’
สารคาเฟอีนมีโครงสร้างคล้ายกับ adenosine มีผลต่อทั้งระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายให้มีการหลั่ง dopamine และ serotonin ออกมามากขึ้น ทำให้ไม่ง่วง หัวใจเต้นเร็ว บีบตัวแรงขึ้น หรือ มีอาการใจสั่นได้ ค่าครึ่งชีวิตอยู่ที่ราวๆ 5 ชั่วโมง ในหนึ่งวันเราไม่ควรรับคาเฟอีนเกินกว่า 300 มก. ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า การกินกาแฟทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือ เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้นนะครับ
6
• นอกจากในกาแฟแล้ว ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ก็มีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วยทั้งสิ้น ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละประเภท
1. กาแฟสด อย่างที่บอกไว้ตอนต้น บอกยากมาก เพราะมันขึ้นกับหลายปัจจัย เมล็ดกาแฟ การคั่ว การชง ขนาดของแก้ว หรือ 1 serving โดยทั่วไป 1 ช๊อตของ espresso ตามร้านจะมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 70 - 100 มก. ยกตัวอย่างถ้าเราดื่มเมนูอะไรก็ตามที่ใช้ 2 ช๊อตนั่นก็คือ 150 - 200 มก. ของคาเฟอีนเข้าไปแล้ว
2. กาแฟกระป๋อง ถ้าสังเกตข้างกระป๋องจะมีเขียนบอกปริมาณคาเฟอีนต่อ 100 มล. ตามข้อกำหนดของอย. แต่ในหนึ่งกระป๋องที่จำหน่ายมักจะมีปริมาตร 180 มล. โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 70 - 80 มก.ต่อ 100 มล. ดังนั้นหนึ่งกระป๋องตกประมาณ 130 มก. นั่นเอง
4
• ชงกาแฟแบบไหน ห่างไกลโรคหัวใจ
อ่านต่อได้ที่ >>>
1
Coffee
Espresso (Short Black)
เอสเพรสโซ่คือ กาแฟ 1 ช๊อตเพียวๆเลยครับ โดยปกติแล้วที่ต่างประเทศจะไม่มีเอสเพรสโซ่เย็นนะครับ จะดื่มแบบร้อนเพียวๆไปเลยครับ ไม่ผสมกับอะไรทั้งสิ้น เพื่อให้ได้รสชาติที่แท้จริงของกาแฟชนิดนั้นๆครับ และเอสเพรสโซ่นี่เองจะใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการทำกาแฟชนิดอื่นๆครับ
Double Espresso (Doppio)
Double Espresso ตามชื่อเลยครับ ก็คือกาแฟเอสเพรสโซ่ที่ได้จากช๊อตของกาแฟจำนวน 2 ช๊อต สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟแบบเข้มข้นจริงๆ หัวของช๊อตเครื่องกาแฟจะมีแบบ 1 ช๊อตกับ 2 ช๊อต โดยความลึกกับขนาดของหัวจะต่างกัน และการกดช๊อตที่เครื่องจะได้ปิมาณน้ำที่แตกต่างกันด้วยครับ
1
Espresso
Short Macchiato
จะมีความคล้ายคลึงกับเอสเพรสโซ่ นั่นคือกาแฟ 1 ช๊อตแต่จะใส่นมเล็กน้อยและเติมฟองนมลงไปด้านบนของกาแฟ เพื่อให้รสชาตินุ่มและกลมกล่อมขึ้น สำหรับคนที่ดื่มเอสเพรสโซ่อย่างเดียวแล้วรู้สึกว่าขมเกินไป ให้ลองแบบนี้ครับ เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้นหน่อยครับ
Long Macchiato
ก็คือการใช้กาแฟเอสเพรสโซ่จำนวน 2 ช๊อตและเติมนมเล็กน้อยตามด้วยฟองนมด้านบน เหมือนๆกับ Short Macchiato แต่มีปริมาณที่มากกว่า เผื่อไว้สำหรับคนที่ชอบดื่มมากกว่ากาแฟ 1 ช๊อตธรรมดาครับ
Macchiato
Ristretto
คือการใช้กาแฟปริมาณ 1 ช๊อตเทียบเท่ากับเอสเพรสโซ่ แต่ใช้ปริมาณน้ำเพียงครึ่งนึง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือความเข้มข้นมากกว่าเอสเพรสโซ่แบบธรรมดาอีกครับ ซึงการทำแบบนี้มันค่อนข้างจะทำยากหน่อย เพราะต้องทำก่อนที่กาแฟเอสเพรสโซ่จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีบรอนด์
Ristretto
Long Black (Americano)
ลองแบล็คหรือที่อีกชื่อว่าอเมริกาโน่ คือการเติมน้ำร้อนเพิ่มลงไปในกาแฟเอสเพรสโซ่ 1 ช๊อตปกติ เพื่อให้รสชาติจืดลง จะได้ดื่มง่าย ซึ่งอัตราส่วนของปริมาณ คือ น้ำร้อน 2/3 ถ้วยและเอสเพรสโซ่ 1 ช๊อตนั่นเอง
2
Café Latte
ลาเต้คือ กาแฟเอสเพรสโซ่ 1 ช๊อต เติมนมร้อนและฟองนมที่สตีมร้อนแล้วในปริมาณ 2 ส่วน ลาเต้เป็นที่นิยมมาก เพราะดื่มง่าย มีรสชาติที่หวานกว่าและนุ่มละมุนด้วยฟองนมครับ หากชอบหวานๆก็เติมน้ำตาลหรือไซรัปลงไปหน่อยตามความชอบครับ โดยลาเต้จะเสริฟแบบเป็นแก้วเพื่อให้เห็นชั้นของกาแฟ นม และฟองนม
2
Latte
Cappuccino
คาปูชิโน่ก็จะเหมือนกันกับลาเต้ครับ แต่ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่คาปูชิโน่จะมีฟองนมมากกว่าและจะมีผงของช๊อคโกแลตโรยอยู่ด้านบนของฟองนม โดยปกติแล้วคาปูชิโน่ร้อนจะเสริฟมาในถ้วยมากกว่าแบบแก้วครับ
Cappucinno
Mocha
มอคค่าคือการผสมกันระหว่าง คาปูชิโน่และช๊อคโกแลตร้อน ซึ่งทำโดยผสมลงช๊อคโกแลตลงในกาแฟเอสเพรสโซ่ แล้วตามด้วยนมร้อนและฟองนมที่สตรีมแล้ว (ปริมาณ 2-3 เซนติเมตร) แล้วโรยด้วยผงของช๊อคโกแลตด้านบนอีกทีครับ
Chocolate mocha
ภาพส่วนผสม ของกาแฟแต่ละชนิด ให้ดูกันชัดๆ เลยครับ
• แจ่มแจ้งขึ้นไหมครับ …… โฮะ ๆ ๆ
1
• กดติดตามกันด้วยนะครับบ
• บทความที่เกี่ยวข้อง “กาแฟ กับ โรคหัวใจ”
References
เชิญติดตามบทความน่าสนใจเพิ่มเติม ผมรวบรวมใว้ Link ด้านล่าง
• ยากันยุง …… กันยุงได้ จริงหรือ?
• อันตรายจาก น้ำแข็งกัด
• ข่าววัคซีน โควิด
• พระพุทธเจ้าบนก้อนหิน
• สายปีนเขา ต้องรู้
• มันสำปะหลัง มีพิษ
• “The Force” … หรือ ‘’พลัง’’ จะมีอยู่จริง ?
• ทารุณกรรม …… หรือแค่ป่วยทางจิต ?•!
โฆษณา